Tuesday 23 September 2014

[บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน] Write it on your skin (อู๋เสีย * เมินโหยวผิง) [One-shot]


[One-shot] Write it on your skin

Fandom : บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน

Pairing : อู๋เสีย * เมินโหยวผิง




****คำเตือน**** สปอยล์เล็กน้อย ถึงประมาณเล่ม 7 ของไทยค่ะ









“รอกลับที่พักก่อนก็ได้ นายเอานิ้วถูไปถูมาอย่างนี้มันจะร้อนขึ้นได้สักเท่าไรเชียว”

นายอ้วนส่ายหน้าหน่าย ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เขาเองไม่ใช่หรือเป็นฝ่ายชักชวนผมจับเสี่ยวเกอถอดเสื้อแบบงง ๆ แล้วยังแนะนำอีกว่าลองเอานิ้วถูให้มันร้อนดูหน่อย เผื่อรอยสักจะโผล่ขึ้นมาทักทาย ดูนายอ้วนเองก็ตื่นตาตื่นใจกับเงื่อนไขในการปรากฏของรอยสักนั่นอยู่ไม่น้อย บ่นพึมพำทุกครั้งที่กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าหากเป็นเขาจะสักโพยข้อสอบ เรื่องคะแนนเมื่อครั้งอดีตจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เชื่อเขาเลย

“หรือถ้ารีบนักก็เอาไฟแช็คลนแม่มเลย” นายอ้วนว่าพลางหัวเราะปากกว้าง ที่บ้าคือเมินโหยวผิงแม้จะไม่ตอบ แต่ก็หยิบไฟแช็คขึ้นมาจริง ๆ

“นายเพี้ยนไปแล้วเรอะ!”

เขามองผมนิ่ง ๆ สายตาว่างเปล่าเหมือนเป็นหลุมดำ ไม่ปริปากอะไรสักพยางค์ แต่ก็วางมันไว้ที่เดิม ท่วงท่าเนิบนาบเหมือนตอนหยิบมันขึ้นมาเมื่อครู่ จะพูดว่าไงดีล่ะ ไม่รู้ควรเรียกว่าเขาว่าง่ายหรือไม่ใส่ใจโลกอยู่แล้ว เมินโหยวผิงเหมือนมีจังหวะและห้วงเวลาเป็นของตัวเอง

บางทีผมนึกสงสัย..ว่าจะมีใครสามารถข้ามฝ่าสีหน้าเรียบเฉยเป็นตุ๊กตานั่น แล้วทำให้เขาแสดงอารมณ์เหมือนมนุษย์ขึ้นมาได้บ้างหรือเปล่า ยิ้ม หัวเราะ โมโห เขินอาย การแสดงออกปกติอย่างมนุษย์พึงมี แต่ต้องไม่ใช่ในสถานการณ์ที่เขายิ้มให้แล้วคอพับคออ่อนไปจนผมใจไม่ดีอย่างคราวนั้นนะ นั่นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว

ผมลอบมองแผ่นอกเขา วางมือลงไปบนตำแหน่งที่เป็นรอยสัก ผิวเนื้อเขาอุ่น แต่มันคงไม่ร้อนถึงขั้นทำให้กิเลนปรากฏตัว นายอ้วนส่ายหน้าอีกครั้งแล้วเดินอาด ๆ ออกไปนอกห้อง บอกว่าขอออกไปตามหาสาวงามในเมืองหรืออะไรทำนองนั้น ก่อนเสียงบานพับประตูเก่าคร่ำครึจะลั่นเอี๊ยดแล้วปิดตามหลัง

..เหลือผม เมินโหยวผิง ความเงียบ และความร้อนซึ่งไม่มากพอจะทำให้รอยสักปรากฏ

ผมหมดปัญญาจะทำให้มันโผล่ขึ้นมา จะไล่เขาไปวิ่งให้เหงื่อออกตัวร้อนก็ใช่ที่ คนอย่างเมินโหยวผิง ต้องวิ่งสักกี่กิโลกันร่างกายจึงร้อนได้อย่างนั้น ตั้งใจว่าไว้เจอกระเป๋าน้ำร้อนค่อยเอามานาบบนผิวเขาก็ได้ แผนที่บนกิเลนอย่างไรเสียก็ไม่หายไปไหน รออีกนิดจะเป็นไรไป

ระหว่างคิดเช่นนั้น ปลายนิ้วผมลากแผ่วเบาไปทั่วอย่างลืมตัว ตรงนี้...น่าจะเป็นตาของกิเลน ส่วนตรงนั้นเป็นขา หาง แล้วก็...ตรงไหนอีกนะ..

“อ๊ะ!?”

ผมอุทาน แต่นั่นเป็นเพราะเมินโหยวผิงที่สะดุ้งน้อย ๆ จึงได้รู้ตัวว่าดูเหมือนจะลูบเนื้อตัวเขาเยอะไปหน่อยแล้ว เมื่อกี้นายอ้วนยังอยู่ ช่วยกันส่องมันเสียทุกตารางนิ้วบนแผ่นอกเขาไม่ยักรู้สึกแปลกอะไร แต่พอเหลือกันอยู่สองคน พลันรู้สึกประหลาดจนใจเต้นโครมคราม ใบหน้าเกิดร้อนผ่าวแล้วลามไปทั้งตัว จนคิดว่าถ้าผมมีรอยสักอย่างเมินโหยวผิง ป่านนี้มันคงขึ้นลายให้พร้อยไปหมดแล้ว

“นาย..เอ้อ...เป็นอะไรไหม” ผมถามตะกุกตะกัก ทั้งที่ความจริงแล้วน่าจะถามตัวเองมากกว่าว่าเป็นอะไรไหม

เขาไม่ตอบ...อย่างเคยนั่นละ ใบหน้ายังเฉยชาเช่นทุกที ก้มงุด ๆ แล้วหยิบเสื้อบนโต๊ะขึ้นมาเตรียมสวม คล้ายจะประกาศกลาย ๆ ว่าหยุดลูบไปทั่วได้แล้ว

ผมพยักหน้าเข้าอกเข้าใจกับตัวเอง ตีความภาษากายน้อยนิดของเสี่ยวเกอในแบบของผม แม้จะเป็นเช่นนั้น ยังอดเหลือบมองร่างกายท่อนบนของเขาไม่ได้ ต่อให้เคอะเขินนิดหน่อย แต่ก็คิดว่าสัมผัสที่ปลายนิ้วเมื่อครู่นั้นชวนให้รู้สึกดีจนอยากจดจำไว้นาน ๆ เผลอคิดเพ้อเจ้อไปเรื่อย ว่าหากจะมีอะไรซึ่งเชื่อมโยงเสี่ยวเกอไว้กับโลกนี้ ให้สิ่งนั้นเป็นผมเองคงดีไม่น้อย ที่แย่คือปากดันหลุดพูดออกมาจริง ๆ ด้วยนี่สิ

“..ถ้านายจำไม่ได้ว่าตัวเองมีความเชื่อมโยงกับโลกนี้ยังไง...ก็จำฉันแทนเถอะ..”

ไอ้บ้าอู๋เสีย..ผมพูดอะไรออกไปนี่

เสี่ยวเกอเงยขึ้นมองผมนิ่งงัน หลุมดำในดวงตาเขาคล้ายว่าไหวระริกอยู่แวบหนึ่ง..หากผมไม่ได้คิดไปเอง แต่เพียงพริบตามันก็กลับไปนิ่งเหมือนเดิม เอาเข้าจริง ผมเริ่มไม่แน่ใจสายตาตัวเองแล้ว หรือควรตัดแว่นใหม่เสียที

ผมกำลังจะหันไปทางอื่น แต่ในตอนนั้นเอง..ต่ำลงไปกว่าลำคอและสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ของเมินโหยวผิง...


..รอยสักกิเลนพาดผ่านขึ้นจาง ๆ บนแผ่นอกเขา


ผมขมวดคิ้ว หรี่ตา ตั้งใจเพ่งมองให้ชัดอีกครั้ง แต่เขาสวมเสื้อเรียบร้อยแล้วในเสี้ยววินาที

“เอ๋?”

ไร้คำตอบรับเช่นเคย เสี่ยวเกอเสมองไปทางอื่น ทว่าใต้แสงสลัวนั้น พอจ้องให้ดี ก็พบว่าบนใบหน้าเรียบเฉยของเขา ใช่ว่าจะนิ่งสนิทเสียทีเดียว


สีชมพูเรื่อที่แต้มอยู่บางเบาบนแก้มเขา ผมจะไม่มีวันลืมเลยชั่วชีวิต



----------------------------------


สั้น ๆ ด้วยอารมณ์ชั่ววูบค่ะ จริง ๆ จะอ่านให้เป็นผิงเสียก็พอได้นะ ชิปสลับหน้าหลังกับเรือใหญ่ขอร้องไห้ไม่แป๊บ T{}T

1 comment: