Monday 31 July 2017

[ฉวนจื๋อ Fanfiction] ตาพายุ (ชุน>>หลาน>>เยี่ย) [One-shot]




คำเตือน
- เนื้อหามีกล่าวถึงชื่อจริงของหลานเหอและชุนอี้เหล่าค่ะ
- เป็นแฟนฟิกชั่นที่มีกลิ่น BL (ชายรักชาย) รับไม่ได้ปิดนะคะ
- จำช่วงเวลาในเล่มได้ไม่ชัดเจน แต่ถ้าอ่านมาถึงเล่ม 6 แล้วก็เรียกว่าน่าจะปลอดภัยไร้สปอยล์ค่ะ




Title : ตาพายุ
Fandom : เทพยุทธ์เซียน Glory
Paring : ชุน>>หลาน>>เยี่ย





เหลียงอี้ชุนรู้ว่าออกจะเป็นการเสียมารยาทไปสักหน่อย สำหรับการอ่านแชตของคนอื่นจากด้านหลัง แต่สาบานได้ว่าเขาไม่เจตนา

เขาเพียงเดินผ่านมาเท่านั้น เห็นสวี่ปั๋วหย่วนนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ด้วยท่าทางเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตั้งใจจะส่งเสียงทัก ทว่ายังไม่ทันได้อ้าปาก สายตาพลันเหลือบไปเห็นข้อความที่ค้างอยู่บนหน้าจอติดต่อระหว่างตัวละครในเกม

อยู่กับเกอก็มีความสุขออกไม่ใช่หรือ

ราวกับจะได้ยินน้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ส่งมาผ่านตัวอักษร ไม่ต้องอ่านชื่อด้วยซ้ำ เจ้าของข้อความนั้นคือจวินม่อเซี่ยวอย่างไม่ต้องสงสัย

เสี่ยวหลานก็เป็นคนมีฝีมือ เรามาสร้างอนาคตด้วยกันดีกว่าน่า

กุ่น!!!!’

สวี่ปั๋วหย่วนกระแทกคีย์บอร์ดกลับไปว่าอย่างนั้น แต่คนพิมพ์เอง หลังส่งข้อความไปแล้วกลับนั่งเหม่อไม่ขยับ นิ่งงันราวกับหุ่นยนต์รูปมนุษย์ที่หยุดทำงานไปแล้ว เว้นแต่เพียงใบหูสองข้างซึ่งมองเห็นจากข้างหลังว่าเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ

ครู่ใหญ่กว่าเจ้าตัวจะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งยาว ๆ จากนั้นปิดหน้าต่างข้อความลง พาตัวละครกลับเข้าสู่เขตเก็บเลเวลอีกหน

ระหว่างนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ทันสังเกตสักนิดว่าเขามายืนอยู่ตรงนี้

เจ้าหนูนั่นความรู้สึกช้าเหลือเกิน

ทั้งเรื่องที่ไม่ระวังในชีวิตจริงจนโดนเขาจ้องขนาดนี้ก็ยังไม่รู้ตัว แล้วยังไม่ระวังในเกมจนโดนคนจรมากเล่ห์นั่นโน้มน้าวขนาดนี้ก็ยังไม่รู้ตัวเช่นกัน

เหลียงอี้ชุนสังเกตได้มาสักระยะใหญ่ แต่ตกอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เห็นสวี่ปั๋วหย่วนเหม่อบ้างถอนหายใจบ้างจนแทบขุดปอดออกมากองข้างนอกอยู่แล้วก็นึกสงสารจนอึดอัด ไม่รู้เจ้าเด็กซื่อคนนั้นจะหลงอยู่ในวังวนความคิดฟุ้งซ่านของตนไปอีกนานแค่ไหน

แต่ครั้นจะอ้าปากชี้ทางให้ฝ่ายนั้นตระหนักได้สักที ก็พบว่าเป็นเขาอีกนั่นละ ที่หวังว่าสวี่ปั๋วหย่วนจะไม่มีวันรู้ใจตัวเองตลอดไป อย่างน้อยเขายังอยู่ใกล้ชิดอีกฝ่ายซึ่งเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าตนเองไม่ได้ตกหลุมรักมหาเทพแห่งกลอรี่ผู้นั้นเข้าแล้ว

ใช่ สวี่ปั๋วหย่วนตกหลุมหมอนั่นแน่แล้ว เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีคนคอยชี้หรือป่าวประกาศ หากมีใจนึกสังเกตเอาสักหน่อย คนใกล้ตัวล้วนดูออกไม่ยาก เพียงแต่กลางตาพายุย่อมไม่รู้สึกถึงพายุ คนที่ไม่รู้ตัวสักที เห็นจะมีแต่ตัวสวี่ปั๋วหย่วนนั่นเอง

ชั่วขณะหนึ่ง เหลียงอี้ชุนนึกอยากเก็บเด็กคนนี้ไว้กลางตาพายุตลอดไป

“ปั๋วหย่วน” เขาส่งเสียงเรียกเบา ๆ

อีกฝ่ายสะดุ้งเฮือก เหมือนเพิ่งหลุดจากภวังค์ รีบหันกลับมามองทางเขาซึ่งทำทีประหนึ่งเพิ่งเดินเข้ามาวินาทีนี้เอง

“ครับ?”

“เกือบเช้าแล้ว ยังไม่นอนอีกหรือ?”

ประโยคแสดงความเป็นห่วงเป็นใยนี้ แท้จริงแล้วไม่จำเป็นนัก พวกเขาทุกคนล้วนมีประสบการณ์ออนไลน์ต่อเนื่องในช่วงเวลาที่คนปกติหลับใหลกันอยู่แล้ว เพียงแต่ขอบตาคล้ำอย่างคนอดหลับอดนอนของอีกฝ่าย เห็นเข้าแล้วก็อดเอ่ยปากเตือนสักหน่อยไม่ได้จริง ๆ ในฐานะหัวหน้า ในฐานะเพื่อนร่วมงาน หรือมากกว่านั้นสักหน่อย...อาจเป็นในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง

เหลียงอี้ชุนไม่ได้อยู่กลางตาพายุเหมือนอย่างคนตรงหน้า ความรู้สึกของตนต่ออีกฝ่ายเป็นเช่นไร เขาย่อมรู้ตัวดีเสมอ เพียงแต่ความหนักอึ้งในอกนี้ ชวนให้กลับมานึกทบทวนอยู่เหมือนกัน ว่าแท้จริงแล้ว...แบบไหนเจ็บปวดกว่า ระหว่างยืนมืดมนอยู่กลางตาพายุ ไม่รู้ตัว หนีไปไหนไม่ได้ หรือรู้แจ้งในความรู้สึกตนเองเต็มที่ และรับผิดชอบต่อความปรารถนาซึ่งไม่มีวันเป็นจริงด้วยการแบกรับทั้งหมดนั้นไว้ในความเงียบงัน

สวี่ปั๋วหย่วน หากเป็นนาย จะเลือกแบบไหน

“อีกนิดเดียวจะเลเวลอัพแล้วครับ” อีกฝ่ายตอบพลางยิ้มน้อย ๆ

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ไม่ใช่ว่าจะเลเวลอัพตั้งแต่เมื่อค่ำแล้วหรอกหรือ”

“พอดีมีเรื่องยุ่งยากนิดหน่อย เลยต้องหยุดเก็บเลเวลไปช่วงหนึ่ง” กล่าวถึงตรงนี้ สวี่ปั๋วหย่วนกลับหลบตาอย่างไม่แนบเนียน เห็นได้ชัดว่า เรื่องยุ่งยากนิดหน่อย นั้น หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับจวินม่อเซี่ยวเป็นแน่

เขาตัดสินใจมองข้ามท่าทางแบบนั้นไปเสีย

“เซิร์ฟสิบเป็นไง”

“เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วครับ”

“แล้วนายล่ะ”

“เอ๋?” อีกฝ่ายชะงัก มองเขาอย่างไม่เข้าใจ

“เป็นไงบ้าง?”

สวี่ปั๋วหย่วนทำตาปริบ ๆ “ผม?”

“มีอะไรที่ลำบากใจหรือเปล่า ตอนนี้เร่าอ้านฉุยหยางก็ไม่ได้—”

พอแล้ว

เขาห้ามตัวเองไม่ให้พูดต่อ กลืนถ้อยคำที่เหลือลงคอไป

“ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มโบกมือเบา ๆ “พอเลเวลอัพก็รีบไปนอนเสีย”

เอ่ยเท่านั้นแล้วหันหลังกลับ ไม่กล้าเหลียวไปมองอีก

เมื่อครู่เขาตั้งใจจะพูดอะไร

เร่าอ้านฉุยหยางก็ไม่ได้มาก่อกวนแล้ว อยากกลับมาอยู่ด้วยกันที่อาณาจักรทวยเทพไหม?

กลับมาอยู่เคียงข้างฉันเหมือนเดิมดีไหม?

เดินจากมาได้ไม่ทันกี่ก้าว เสียงสวี่ปั๋วหยวนดังขึ้น เป็นบทสนทนากับคนในเกม คราวนี้คงพาตัวละครมาเจอหน้ากันแล้ว จึงสามารถสื่อสารด้วยการพูดได้เหมือนยืนอยู่ด้วยกันจริง

“คุณนี่มัน...ไร้ยางอายที่สุด!

เหลียงอี้ชุนโคลงศีรษะไปมา ตื้ออยู่ในอก หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

ระหว่างที่สวี่ปั๋วหย่วนยังหาทางออกจากตาพายุไม่เจอ เขาเองคงต้องทำตัวเสมือนหนึ่งอยู่กลางตาพายุเป็นเพื่อนอีกฝ่ายไปก่อนกระมัง






- End -





//หลานเหอ เธอรักเขา!

//หล่อมักนก ซกมกมักได้ โอ๋นะพี่ชุน ไม่ร้องนะคนดีย์ ;{};



Tuesday 25 July 2017

[ฉวนจื๋อ Fanfiction] ปีศาจ (เยี่ยหลาน) [One-shot]








คำเตือน
- สปอยล์ชื่อจริงของหลานเหอค่ะ
- เนื้อหาสมมติว่าพี่เยี่ยกับหลานเหออยู่ด้วยกันนะคะ 555
- เป็นแฟนฟิกชั่นที่มีกลิ่น BL (ชายรักชาย)ค่ะ รับไม่ได้ปิดนะคะ



Title : ปีศาจ
Fandom : เทพยุทธ์เซียน Glory (ฉวนจื๋อ)
Pairing : เยี่ยหลาน (เยี่ยซิว*หลานเหอ)


ความเร็วมือของเยี่ยซิวไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ

สวี่ปั๋วหย่วนคิดว่าตัวเองเข้าใจเรื่องนั้นดีมาแต่ไหนแต่ไร เพิ่งมาตระหนักได้เอาตอนนี้ว่าเข้าใจผิดมาตลอด ทั้งที่คาดไว้ในใจ—หากกล่าวอย่างไม่อคติ—ก็ถือว่าความเร็วมือของเยี่ยซิวสูงส่งมากอยู่แล้ว แต่ไม่นึกว่านั่นยังเป็นการประเมินที่ต่ำกว่าความเป็นจริงไปไกลโข

เขาเบิกตากว้าง ไม่ว่าจะภาพบนจอ หรือนิ้วมือยาว ๆ ที่ขยับอยู่บนเมาส์และคีย์บอร์ด ล้วนรวดเร็วลื่นไหลจนมองตามแทบไม่ทัน

ไม่กี่วินาทีถัดมา ฝ่ายตรงข้ามในสนามประลองซึ่งได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งก็ล้มลงนอนแผ่บนพื้น ไม่ทันได้ตอบโต้แม้สักกระบวนท่า น่าอนาถอย่างถึงที่สุด

ตายแล้วหรือ จบแล้วจริง ๆ หรือ?

สวี่ปั๋วหย่วนถึงกับเผลออ้าปากค้าง มองตามตาปริบ ๆ

ไม่นานมานี้ เขาเองก็เคย PK กับเจ้าของตัวละครที่กลายเป็นศพไปต่อหน้านี่เหมือนกัน ทว่าคราวนั้นเขาเป็นฝ่ายแพ้ ถึงจะน่าเจ็บใจสักหน่อยตรงที่อีกฝ่ายเป็นคนมาหาเรื่องเขาก่อนแท้ ๆ แต่แพ้ก็คือแพ้อยู่ดี

แล้วดูเยี่ยซิวจัดการกับเจ้าหมอนั่นลงเสียราบคาบราวกับแค่ไล่บี้แมลงหวี่...ไม่สิ...บี้แมลงหวี่ที่บินว่อนไปมายังอาจยุ่งยากกว่านี้เสียอีก เขาเหลือบมองเวลาประลองที่แสดงบนหน้าจอ ตั้งแต่มหาเทพออกท่าแรกกระทั่งอีกฝ่ายตายคาคอมโบ ใช้เวลาทั้งสิ้นเพียงเก้าวินาทีเท่านั้นเอง!

ปีศาจ! นั่นมันมือปีศาจแน่แล้ว คนคนนี้ไม่เคยหยุดทำให้เขาต้องตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"เหอะ ๆ"

เสียงหัวเราะสุดชิลดึงสวี่ปั๋วหย่วนหลุดจากอาการอึ้ง

ครั้นเบนสายตาจากจอคอมพิวเตอร์มายังเจ้าของเสียง พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาทางเขาอยู่ก่อนแล้ว...

มองอย่าง...ตั้งอกตั้งใจ?

"หือ?"

ให้ตายเถอะ! พอหายอึ้งจากภาพบนจอ ก็ย้ายมาอึ้งกับคนหลังจอแทน

"มีอะไร" เขากลั้นใจถามเสียงเรียบ

"เสี่ยวหลานนี่เป็นปีศาจชัด ๆ เลยนะ" อีกฝ่ายพูดไปก็ส่งรอยยิ้มอ่อนใจ โบกบุหรี่ในมือไปมา ท่าทางเหมือนเป็นตาลุงเพ้อเจ้อถึงลูกหลาน

"หา!?" สวี่ปั๋วหย่วนแทบทำคิ้วพุ่งหลุดออกจากหน้าผาก เรื่องที่อีกฝ่ายมักเอาชื่อเรียกในเกมของเขามาปนกับชื่อจริงนั้นไม่น่าแปลก แต่ที่ฟังแล้วขัดหู คือเรื่องอะไรมายกตำแหน่งปีศาจซึ่งน่าจะเป็นของคนพูดเองต่างหากมาให้เขาเสียได้

"หมอนั่นเลยตายอนาถไปเสียแล้ว" เยี่ยซิวว่าพลางพยักพเยิดไปยังภาพบนจอ พาตัวจวินม่อเซี่ยวออกจากสนามประลอง ส่วนเจ้าของไอดีกำลังโคลงศีรษะส่งเสียงจุ๊ ๆ ๆ เหมือนตัวเองไม่ได้เพิ่งเป็นคนเอาร่มแสนกลฟาดอีกฝ่ายเสียเละเทะ "เป็นเพราะเสี่ยวหลานแท้ ๆ"

"เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ!?"

มนุษย์คนนี้จะเข้าใจยากเกินไปแล้ว!

"นายก็อย่าทำตัวน่ารังแกกับคนอื่นสิ มันล่อเป้ารู้ไหม"

เหตุผลประสาทที่ฟังไม่รู้เรื่องพรรค์นี้ ถ้าพิมพ์แจกจุดทั้งที่กำลังคุยกันอยู่ต่อหน้าได้ เขาก็อยากรัวจุดยาว ๆ ใส่ท่านเทพสักกิโลเมตรหนึ่งเหมือนกัน

สวี่ปั๋วหย่วนอ้าปากจะถาม แต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียง มือที่ไม่ได้ไวแค่เฉพาะในเกมก็โฉบมาวางอยู่บนกลางกระหม่อมเขา ยีเบา ๆ แล้วขยุ้ม ๆ อย่างกับมันเขี้ยวเสียเต็มประดา

"คุณ—!"

ครั้นขยับตัวจะหนี ยังไม่ไวไปกว่ามือมารนั่นอยู่ดี เยี่ยซิวดูยิ่งชอบใจเสียด้วยซ้ำที่โยกมือตามมาได้ทันตลอด แต่จะว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายยังพอพูดได้ ในเมื่อมือของคนผู้นี้อาจจะเป็นส่วนเดียวในร่างกายที่นอกจากจะไม่ซกมกแล้ว ยังสวยมากอีกต่างหาก พอคิดอย่างนั้นจึงพอปลอบใจตัวเองได้บ้างนิดหน่อย หนีไม่พ้นเข้าจริง ๆ ก็ยอมยืนนิ่งให้เล่นผม แม้สีหน้าติดจะมู่ทู่ไปสักนิด

ทว่าพอนานเข้ายังไม่เห็นวี่แววว่าอีกฝ่ายจะหยุดมือ ต่อให้ความอดทนสูงขนาดไหนก็อดบ่นไม่ได้เหมือนกัน

"ลูบอยู่ได้ เห็นผมเป็นหมาหรือไง!"

"พูดอะไรอย่างนั้น" เยี่ยซิวหัวเราะ แก้ต่างให้คนฟังคลายความงุ่นง่านลงได้สองสามส่วน "เจวี๋ยเซ่อของเกอเป็นกระต่ายน้อยไม่ใช่หรือ"

เพื่อจะพุ่งขึ้นอีกเจ็ดแปดส่วน!

"...คุณนี่มัน!"

ได้ยินคีย์เวิร์ดทั้ง 'เจวี๋ยเซ่อ' ทั้ง 'กระต่ายน้อย' ในประโยคเดียวกัน สวี่ปั๋วหย่วนแทบระเบิดบรึ้ม! คนคนนี้เกินเยียวยาแล้วจริง ๆ!

ทว่าเยี่ยซิวก็ยังเป็นเยี่ยซิว มิได้นำพาต่อความเดือดดาลของเขาแต่อย่างใด ยังคงกล่าวต่อน้ำเสียงเรียบเรื่อย "ถ้าโดนใครรังแกอีกก็บอกเกอ"

"ผมดูแลตัวเองได้!"

"เกอจะฆ่ามัน"

"ใครใช้ให้คุณ PK มั่วซั่วด้วยเรื่องไร้สาระพรรค์นี้!"

"จะหลานเหอ หลานเฉียวชุนเสวี่ย หรือว่าเจวี๋ยเซ่อ ก็มีเกอรังแกได้คนเดียว"

เหมือนพูดกันคนละภาษา! แล้วเรื่องอะไรมายอมรับกันหน้าด้าน ๆ ว่าจ้องหาเรื่องเขาจริง ๆ สวี่ปั๋วหย่วนแทบทึ้งผมตัวเองหลุดมาทั้งกระจุก อยากโวยสักยกใหญ่แต่ไม่รู้จะเริ่มจากประเด็นไหนก่อนดี

เสียงหัวเราะทุ่มต่ำดังขึ้นชิดริมหู กลิ่นบุหรี่โชยเข้าจมูกเมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ ลมหายใจร้อนเป่ารดข้างแก้มคล้ายจงใจเฉียดแต่ไม่ได้สัมผัส

เขารู้สึกหน้ามืดขึ้นมาวูบหนึ่ง ไม่รู้กลิ่นบุหรี่เข้มข้น หรือเพราะใจเต้นเร็วเกินไปหน่อย

"ได้ข่าวว่าเมื่อวานก็มีคนจากจงเฉ่าถังมาหาเรื่องเสี่ยวหลานด้วยนี่นา" กลิ่นเมื่อวินาทีก่อนจางลงแล้วเมื่ออีกฝ่ายขยับตัวกลับไปทิ้งระยะห่างเท่าเดิม เยี่ยซิวทำท่าครุ่นคิด พลางกดหาในลิสต์รายชื่อเพื่อน "อืม...ชื่ออะไรนะ"

ถึงกับแอดเพื่อนกันไว้เรียบร้อยแล้วด้วยเรอะ!?

"นี่คุณอย่าบอกนะ..."

"เจอแล้ว" เยี่ยซิวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ "กำลังออนอยู่พอดีเลย"

ข้อความสั้น ๆ ถูกส่งไปหาเป้าหมาย

'สวัสดี ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน'

อีกฝั่งเงียบไปครู่ใหญ่ คงกำลังงง พักหนึ่งจึงค่อยส่งพิกัดกลับมาให้

เยี่ยซิวบังคับตัวจวินม่อเซี่ยวรุดไปยังตำแหน่งที่ว่าทันที

ระหว่างออกวิ่ง ยังอุตส่าห์แบ่งมือข้างหนึ่งมาตบเก้าอี้แปะ ๆ ข้างตัว "ปั๋วหย่วนก็มานั่งดูด้วยกันสิ หรือจะออนไอดีตัวเองมาส่องก็ได้"

"คุณจะไปหาเขาทำไม" สวี่ปั๋วหย่วนเบิกตากว้าง แม้พอเดาได้จากบทสนทนาของพวกเขาก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี อีกอย่างคนจากจงเฉ่าถังผู้นั้น ถึงมาก่อกวนเขาจริง แต่ใช่ว่าจะทำสำเร็จ ครั้งก่อนโดนเขาเอาคืนเกือบตายไปแล้วต่างหาก

"ไปทำให้รู้ว่าคนไหนที่ไม่ควรหาเรื่อง" เยี่ยซิวกล่าวยิ้ม ๆ


ครู่หนึ่งผ่านไป ใกล้ถึงที่หมายเต็มที สวี่ปั๋วหย่วนเห็นภูมิประเทศเริ่มเปลี่ยนเป็นป่าซับซ้อน มีตำแหน่งให้ซุ่มโจมตีมากมาย พลันตระหนักขึ้นมาว่าอาจเป็นกับดัก อดเอ่ยเตือนอย่างลืมตัวไม่ได้ "แล้วถ้าเจ้านั่นมีพรรคพวกรอรุมอยู่จะทำไง"

เยี่ยซิวเหลือบมองเขาหนหนึ่ง ดวงตาหยียิ้มพึงใจ

สวี่ปั๋วหย่วนพลาดอีกแล้ว

"ฆ่ายกก๊วน" ชายหนุ่มตอบ

สวี่ปั๋วหย่วนพลาดแบบไม่รู้จักจำจริง ๆ






ข่าวลือแพร่สะพัดออกไปทั่วเว็บบอร์ดกลอรี่ เรื่องจวินม่อเซี่ยวบุกฆ่าคนของจงเฉ่าถังตายยกปาร์ตี้ เบื้องลึกเบื้องหลังยังเป็นที่น่าสงสัยว่าสาเหตุมาจากอะไร แต่เนื่องจากตัวละครเหล่านั้นไม่ได้เป็นคนเด่นดังเท่าไรนัก และจวินม่อเซี่ยวก็ขยันมีเรื่องกับชาวบ้านอยู่แล้ว (พวกนั้นหาเรื่องเกอก่อน--เยี่ยซิวเถียง) ข่าวจึงค่อย ๆ เงียบหายไปในเวลาไม่นาน

มีเพียงผู้ประสบภัยในเหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ ที่ได้รู้เหตุจูงใจของเจ้าฆาตกรจวินม่อเซี่ยวในวินาทีก่อนวิญญาณของพวกเขาจะลอยขึ้นฟ้า มองร่างตัวเองนอนแน่นิ่งบนพื้น

กฎเหล็กข้อเดียวที่ห้ามแหก หากไม่อยากโดนอย่างคราวนี้

ห้ามวอแวกับหลานเหอ หัวหน้ากิลด์หลานซีเก๋อแห่งเซิร์ฟเวอร์สิบเป็นอันขาด!






(((ส่งท้าย)))



"ตายเป็นสิบเลยแฮะ" เยี่ยซิวกล่าว หยิบไอเทมที่ดรอปได้มาดู อะไรท่าทางจะขายได้ยังเก็บเรียบอย่างหน้าไม่อาย "ไม่นึกว่าจะซุ่มรอกันเยอะขนาดนี้"

สวี่ปั๋วหย่วนตกตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า พอกับที่ฝันสลายครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน ทำไมมหาเทพเยี่ยซิวเป็นคนแบบนี้

"ปั๋วหย่วนของเกอนี่เป็นปีศาจจริง ๆ เลยน้า"

"ปีศาจกับผีสิ!" สวี่ปั๋วหย่วนสุดจะทนเอาจริง ๆ แต่อีกฝ่ายเดือดร้อนเสียที่ไหน

"โอ๊ะ กระต่ายน้อยโมโหใหญ่แล้ว"

ทำไมมหาเทพเยี่ยซิวเป็นคนแบบนี้!!!!!








Monday 10 July 2017

[ฉวนจื๋อ Fanfiction] ที่รัดผม (เยี่ยหลาน) [One-shot]




คำเตือน
- เนื้อหากล่าวไปจนถึงเล่มหกของไทยค่ะ (กับมีคำศัพท์คำหนึ่งที่ออกมาในเล่มเจ็ดไทยค่ะ)
- เป็นแฟนฟิกชั่นที่มีกลิ่น BL ค่ะ (ชายรักชาย) รับไม่ได้ปิดนะคะ




Title : ที่รัดผม
Fandom : เทพยุทธ์เซียน Glory
Paring : เยี่ยหลาน (เยี่ยซิว*หลานเหอ)






“เหม่ออะไร คุณตั้งใจมาตายหรือ?”

เสียงเตือนนั้นทำเขาหลุดจากภวังค์ รีบรัวนิ้วบังคับตัวละครเจวี๋ยเซ่อให้โจมตีมอนสเตอร์ที่พุ่งเข้าใส่ หลังจากเขาทะเล่อทะล่าเข้าไปในอาณาเขตความเกลียดชังเกือบยกฝูงไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร

นับแต่มีไอดีสายลับ—ที่ตอนนี้ก็ไม่น่าเรียกว่าเป็นสายลับได้แล้ว—จับพลัดจับผลูมาช่วยจัดการกองทัพนู้บในกิลด์ซิงซินแบบตามน้ำ ดูเหมือนจะเผลอใจลอยอยู่บ่อยครั้งจนถูกทักเอาได้ ปรัชญาชีวิตพิลึกอย่างเช่น เริ่มต้นเล่นกลอรี่เพราะอะไร สถานะหนึ่งในห้ายอดฝีมือที่ถือครองอยู่ในอาณาจักรทวยเทพนั้นจีรังหรือไม่ ตายแล้วไปไหน (แน่นอน ถ้าโดนมอนฟาดตายตรงนี้ก็ไปเกิดใหม่) อะไรต่อมิอะไรผสมปนเปกันจนเหมือนหลุดไปอีกมิติอยู่บ่อย ๆ

“เห็นยืนนิ่ง นึกว่าไม่อยู่แล้วเสียอีก”

“ผมแค่คิดอะไรนิดหน่อย” เขางึมงำ เหวี่ยงดาบใส่มอนสเตอร์ที่กระโจนเข้ามาจากอีกฝั่ง

“เหอะ ๆ” อีกฝ่ายหัวเราะเหมือนรู้ว่าเขาแค่พูดไปส่ง ๆ ไม่เอ่ยอะไรต่อ ใช้เขี้ยวมังกรแทงใส่เจ้าตัวที่โผล่มาล่าสุดทีหนึ่งจนมันติดสตัน จากนั้นหลบฉากไปยืนว่างดูเขาฟาดฟันกับพวกที่เหลือ แม้ไม่อาจคาดเดาสีหน้าด้านหลังคีย์บอร์ด แต่เห็นว่าขนาดตั้งใจจะอยู่เฉย ก็ยังอุตส่าห์ใช้การควบคุมย่อยสั่งให้ตัวจวินม่อเซี่ยวยืนกอดอกไขว้ขา เอนกายพิงต้นไม้ด้วยท่วงท่าประหนึ่งจะถ่ายแบบ น่าหมั่นไส้อย่างถึงที่สุด

แต่ถึงอย่างไร ตอนนี้ควรโยนความหมั่นไส้ทิ้งไปก่อน หันมาให้ความสำคัญกับการต่อสู้ตรงหน้า เมื่อครู่เหม่อหนักไปหน่อย อีกทั้งไอดีสายลับนี้เขาไม่ได้เอามาใช้เก็บเลเวลจริงจังนัก อุปกรณ์ติดตัวก็ใช่จะดีเลิศ เพียงแต่วันนี้รู้สึกเบื่อขึ้นมา อยากปล่อยมือจากเรื่องปวดหัวทั้งหลายในกิลด์สักช่วงหนึ่งสั้น ๆ จึงตัดสินใจเข้ามาเล่น ยามนี้ต้องสู้กับมอนสเตอร์หลายตัวพร้อมกัน นับว่าตึงมือไม่น้อย

เดิมทีเขาตั้งใจเพียงเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆ ลำพังสักสองสามชั่วโมง ไม่นึกว่ายังเรื่อยเปื่อยได้ไม่ทันเท่าไร กลับมีตัวกวนอารมณ์โผล่มาเหมือนมีใครร่ายเวทอัญเชิญคนจร

“ช้าจัง” จวินม่อเซี่ยวเอ่ยเสียงเนือย ระหว่างหลานเหอสู้มือเป็นระวิง เขาหรืออุตส่าห์บังคับตัวละครให้เหลือบไปมอง กังวลอย่างไร้ความหมายว่าอีกฝ่ายจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ก็เห็นว่าเจ้าตัวกำลังทำท่าแคะเล็บ

หลานเหอแจกจุดรัว ๆ “...”

“เหอะ ๆ” ดวงตาของตัวละครจวินม่อเซี่ยวไร้แวว สีหน้าก็ไม่แสดงอารมณ์ แต่เสียงหัวเราะเรื่อยเฉื่อยของคนควบคุมนั่นมันช่างแสลงหูอย่างถึงที่สุด

“เก็บกวาดเสร็จแล้วเรียกเกอนะ”

“จะไปไหนก็ไปเลยไป!”

“จิ๊ ๆ ๆ ไล่กันอย่างนี้เสียน้ำใจรู้ไหม” อีกฝ่ายยังว่าไปเรื่อย “ไม่ใช่ว่าเรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันหรอกหรือ”

“ใครไปมีสัมพันธ์อันดีกับคุณ!”

ท่านเทพก็ท่านเทพเถอะ เขาต่อในใจ บางทีพอฝันสลายซ้ำ ๆ จากตัวจริงที่ต่างกับภาพลักษณ์ท่านเทพเยี่ยชิวในจินตนาการเกินไป ก็อดไม่ไหวจะต่อปากต่อคำ มีสวนเข้าให้บ้าง

“เราเคยทำการค้ากันนี่นา เคยร่วมปาร์ตี้ลงดันหวานชื่น” คราวนี้จวินม่อเซี่ยวทำท่านับนิ้ว การควบคุมย่อยละเอียดอ่อนขนาดนั้นถูกนำมาใช้กับเรื่องไม่เป็นเรื่องจนเห็นแล้วหงุดหงิดอย่างไรพิกล “แล้วช่วงนี้ยังมาช่วยเกอเลี้ยงลูกอีก”

“เลี้ยงนู้บไม่ใช่เรอะ!” คราวนี้ถึงกับหลุดเสียงตวาด เริ่มคิดว่าถ้าเจอมอนสเตอร์พร้อมกับคนจร ให้ฟาดคนจรก่อนท่าจะดี

จวินม่อเซี่ยวหัวเราะ “ยอมรับว่ามาช่วยเลี้ยงจริงด้วยสินะ”

เหมือนเห็นหลุมอยู่ตรงหน้าแล้วก็กระโจนพรวดลงไปอย่างโง่เง่าที่สุด หลานเหอพูดไม่ออก เริ่มคิดว่าหรือถ้าเขาตีคนจรให้ตายไม่ได้ ก็ควรปล่อยให้มอนพวกนี้ฟาดตัวเองให้ตาย ๆ แล้วไปเกิดใหม่เสียจบเรื่องจบราว

ขณะต่อสู้ เหลือบเห็นการควบคุมตัวละครจวินม่อเซี่ยวให้ทำท่านั้นท่านี้เหมือนกำลังรอเขาอยู่จริง ๆ แล้วชวนประสาทเสีย เมื่อครู่นี้นั่งไขว่ห้างกระดิกเท้า หันไปอีกทีกำลังเท้าคางพลางยกมืออีกข้างขึ้นจ่อริมฝีปากเหมือนกำลังเป่าปาก คนเรามันจะต้องว่างขนาดไหนถึงมานั่งโชว์การควบคุมท่วงท่าบ้า ๆ บอ ๆ ชมอีกฝ่ายรบรากับฝูงมอนสเตอร์

“ให้ช่วยไหม” เห็นจวินม่อเซี่ยวยกมือป้องปากทำท่าตะโกน พลางเอียงคออย่างน่ารักซึ่งไม่ได้เข้ากับแฟชั่นคนจรสักนิด หลานเหอหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ตัดสินใจทำหูทวนลมประหนึ่งไม่รู้จักเจ้าคนที่นั่ง ๆ ยืน ๆ เปลี่ยนท่าไปมาอยู่ตรงนั้น

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง กว่ามอนสเตอร์ตัวสุดท้ายจะถูกโค่นลงได้ในที่สุด จวินม่อเซี่ยวตบมือแปะ ๆ เหมือนผู้ปกครองมาชมการแสดงของบุตรหลานในงานโรงเรียน

“เสี่ยวหลานทำได้ดีมาก” ว่าพลางบังคับตัวละครชูนิ้วโป้ง “เสร็จแล้วอย่าลืมไปช่วยเกอเลี้ยงเด็กต่อ”

“ไม่เลี้ยงแล้ว!” เขาโวยวาย “ผมไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็ก!”

“ถ้าอย่างนั้นเข้ามาออนไอดีนี้ทำไมล่ะ”

ถึงคราวหลานเหอแจกจุดให้ตัวเอง จากนั้นรีบแก้ตัวต่อในใจเป็นพัลวันว่าเขาแค่เบื่อเท่านั้น จึงมาหาอะไรที่สบายใจทำสักหน่อย

“ไม่ใช่ว่าอยู่กับเกอแล้วสบายใจกว่าหรอกหรือ” อีกฝ่ายยังเล็งจุดตายราวกับอ่านใจได้ คราวนี้หลานเหอได้แต่กลืนจุดยาวเหยียดของตัวเองลงไป อยากเถียงก็เถียงไม่ออก

ได้ยินเสียงหลุดหัวเราะแผ่ว ๆ ออกมาจากคนอีกฝั่ง เสียงราวกับลอยอยู่ข้างหูนี่เอง ขนลุกซู่ขึ้นมาไม่ทราบสาเหตุ

“เอ้านี่ รางวัลพี่เลี้ยงดีเด่น” อีกฝ่ายว่าพลาง ส่งอุปกรณ์สำหรับศีรษะชิ้นหนึ่งออกมาให้

มันเป็นที่รัดผม เกรดสีส้ม

ตัวเขาเลิกคิ้วอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มองของชิ้นนั้นงง ๆ

“ตัวละครของเสี่ยวหลานชอบรัดผมนี่นะ”

“...ให้ผมหรือ?” พูดจบก็อยากตบปากตัวเองสักทีจริง ๆ ความที่ส่วนหนึ่งในใจคิดเสมอว่าอีกฝ่ายเป็นท่านเทพผู้สูงส่ง ซึ่งยังคงตีกับภาพลักษณ์ของคนจรไร้ยางอาย ณ ปัจจุบัน การแสดงออกจึงค่อนข้างสับสน ประเดี๋ยวชื่นชม ประเดี๋ยวหัวเสีย

“อื้อ” อีกฝ่ายตอบรับ

ณ วินาทีนั้น ความรู้สึกดี ๆ ก่อตัวขึ้นมาวูบหนึ่ง

“คุณไปเอามาจากไหน”

จวินม่อเซี่ยวตอบเสียงระรื่น “เก็บขยะได้มาน่ะ”

ไอ้ความรู้สึกดี ๆ ที่ว่าพังครืนอย่างรวดเร็ว

เมาส์แทบแตกคามือหลานเหอ ระเบิดพลังมือคว้าที่รัดผมนั่นมาปาลงพื้นด้วยความไวแสง “คุณนี่มัน!”

จวินม่อเซี่ยวหัวเราะอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ไม่ได้บอกว่าที่แท้ไปซื้อหามาให้ด้วยราคาสูงลิ่วต่างหาก







ไม่กี่วันหลังจากนั้น เหล่านู้บในกิลด์ซิงซินก็สังเกตว่าทรงผมสุดสะคราญพี่เลี้ยงของพวกเขาเปลี่ยนไป มีอุปกรณ์สำหรับศีรษะเพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้น รัดผมเป็นหางม้าพวงป้อม ๆ เวลาวิ่งจะแกว่งไปมา น่ารักดีไม่หยอก







-End-







ร่วมด้วยช่วยพายค่ะ ในฐานะที่ขึ้นเรือมาแล้ว สูดกาวฟืดดดดดดดดด


Saturday 18 June 2016

[บันทึกการอ่าน] เด็กชายในชุดนอนลายทาง (The boy in the striped pyjamas)

[บันทึกการอ่าน] เด็กชายในชุดนอนลายทาง (The boy in the striped pyjamas)



เรื่อง : เด็กชายในชุดนอนลายทาง (The boy in the striped pyjamas)
ผู้แต่ง : จอห์น บอยน์ (John Boyne)
ผู้แปล : วารี ตัณฑุลากร
สำนักพิมพ์ : แพรวเยาวชน
ประเภท : หมวดวรรณกรรมเยาวชน (เขาว่าอย่างนั้นนะคะ), อิงประวัติศาสตร์, ดราม่า (อันนี้เรากล่าวเอง)
ระดับความสปอยล์ : น้อยมาก มีกล่าวถึงบทสนทนานิดหน่อย ไม่ส่งผลต่อจุดสำคัญของเรื่องค่ะ


*
 หมายเหตุ ข้อความต่อไปนี้ล้วนเป็นความเห็นส่วนตัวทั้งสิ้น ไม่กล้าเรียกว่ารีวิว ไม่มีหลักวิชาการใดรองรับ ขอถือเป็นบันทึกการอ่าน มาเล่าเก็บไว้ และหากช่วยในการตัดสินใจเลือกอ่าน จะยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ *



งดงาม บริสุทธิ์ และโหดร้าย ß ขอมอบคำจำกัดความแบบสั้น ๆ ของเรื่องไว้ดังนี้


เราอาจคุ้นเคยกับเรื่องของสงครามที่ถ่ายทอดผ่านตัวละครผู้ใหญ่ มุมมองของคนที่ถูกโลกกล่อมเกลา หล่อหลอมให้จิตใจแห่งวัยเยาว์บิดเบี้ยวไปทางใดทางหนึ่งเมื่อเติบโตขึ้น แต่เรื่องนี้พาเราค้นพบความจริงไปทีละอย่างพร้อมกับบรูโน เด็กชายวัยเก้าขวบชาวเยอรมัน โดยมีฉากหลังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

บรูโนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีพ่อแม่ มีพี่สาวที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นยายเกินเยียวยา มีบ้าน มีคุณปู่คุณย่าอาศัยในละแวกเดียวกัน มีเพื่อนที่รักสุดชีวิตสามคน แต่แล้ววันหนึ่ง ชีวิตเช่นนั้นก็มีอันต้องเปลี่ยนไปกะทันหัน เนื่องจากงานอันยิ่งใหญ่และทรงเกียรติของพ่อ ครอบครัวต้องย้ายไปประจำอยู่ค่าย(ที่บรูโนเรียกว่า)เอาท์วิธ สถานที่ซึ่งสภาพแวดล้อมต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง บ้านเล็กลง เพื่อนบ้านหายไป ไม่มีร้านกาแฟ ไม่มีตลาด เพื่อนที่รักสุดชีวิตคงจะไม่ได้เจอกันอีกเร็ว ๆ นี้แน่นอน ไม่มีใครให้เล่นด้วย มีแต่ทหารเดินเข้าออกบ้านประหนึ่งเป็นบ้านตัวเอง

จากริมหน้าต่างห้อง เขาสามารถมองเห็นรั้วสูงใหญ่ที่มีลวดหนาวขดโต ๆ พันต่อกันเป็นวงทอดยาวไปไกลสุดตา อีกฝั่งรั้วนั้นมีผู้คนในชุดนอนลายทางอยู่มากมาย บรูโนค้นพบสิ่งใหม่ ในวันหนึ่งที่เขานึกขึ้นได้ ว่าตัวเองเคยชื่นชอบการออกสำรวจเพียงใด

ไกลจากตัวบ้านออกไป ที่ริมรั้วลวดหนามนั้น...มิตรภาพของเด็กชายสองคน บรูโน และชมูเอลเด็กชายชาวยิว ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยถ้อยคำเรียบง่าย

“สวัสดี” บรูโนทัก
“สวัสดี” เด็กชายคนนั้นตอบ

แน่นอน มุมมองของเด็กย่อมต่างออกไป ในคืนวันที่หัวใจยังใสบริสุทธิ์ ความโหดร้ายของสงครามถูกถ่ายทอดผ่านความไร้เดียงสา เสน่ห์อันเด่นชัดอย่างหนึ่งคือความขัดแย้งในเรื่อง เหมือนกระดาษขาวขับสีหมึกดำที่ย้อมอยู่ให้ชัดเจนขึ้น ลึกล้ำขึ้น สู่จุดจบที่ขมขื่น แต่ยังคงความงดงามของวัยเยาว์ แม้อยู่ท่ามกลางความโหดร้ายยิ่งยวดที่ครั้งหนึ่งมนุษย์เคยก่อให้เกิดแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ไม่ว่าจะความปวดร้าวของผู้ใหญ่ หรือความไร้เดียงสาของเด็ก เราต่างแบกรับความทุกข์โศกของสงครามไว้ แม้เป็นในรูปแบบที่แตกต่าง แต่ผลลัพธ์ไม่ผิดแผกกันนัก

“ผมก็แค่พูดไปตามที่ผมรู้สึก ผมพูดได้ไม่ใช่หรือ?”
“ไม่ค่ะ ไม่ได้”
“ผมพูดตามที่รู้สึกไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้ค่ะ”

นั่นเป็นบทสนทนาช่วงหนึ่งระหว่างบรูโนและมาเรียผู้เป็นสาวใช้ของบ้าน

หากเรามองจากมุมมองของตัวละครผู้ใหญ่ อย่างเช่นมาเรีย พ่อแม่ของบรูโน หรือพาเวล คนรับใช้ที่โต๊ะอาหาร เราเห็นความโหดร้ายของโลกในรูปแบบหนึ่ง แต่เมื่อมองผ่านสายตาเด็กน้อย (หรืออย่างที่เจ้าตัวอยากให้เรียกเขาว่า หนุ่มน้อย มากกว่า) อย่างบรูโน เราเห็นความทุกข์โศกในอีกลักษณะ เราเห็นความอัดอั้น ความเคลือบแคลงสงสัยต่อโลกที่พลิกกลับหน้ามือเป็นหลังมือ และสิ่งเหล่านั้นคล้ายจะไม่มีวันคลี่คลาย

อีกทางหนึ่ง หากเรามองผ่านสายตาของชมูเอล โลกนี้คงโหดร้ายเหลือทน ทั้งยังเป็นความโหดร้ายที่แสนอ้างว้าง อาจกล่าวเช่นนั้น ก่อนเขาจะได้เจอกับบรูโนที่ริมรั้วลวดหนาม รั้วที่กั้นระหว่างคน และคน...ที่พี่สาวของบรูโนพูดไว้ตอนหนึ่งว่าคนพวกนั้นไม่ใช่คนหรอก...

“เราเป็นฝ่ายตรงข้าม” เธอบอก
“ยิวไม่ชอบฝ่ายตรงข้ามหรือ” บรูโนถาม
“ไม่ใช่ เราต่างหากไม่ชอบเขา”
“แล้วทำไมเราไม่ชอบเขาล่ะ”
“เพราะเขาเป็นยิว”

แม้เวลาจะล่วงผ่านมานานแล้ว แต่คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความคิดในลักษณะนี้ ยังคงฝังรากอยู่ในเบื้องลึกเบื้องหลังของจิตใจมนุษย์เรื่อยมา เพียงแต่ลึกลับซ่อนเร้นยิ่งขึ้น และถูกถ่ายทอดแยบยลผ่านการกระทำให้ร้ายฝ่าย(ที่เราเรียกว่า)ตรงข้าม เพียงแต่เป็นสงครามในรูปแบบที่แตกต่าง

หวังว่าเราจะไม่ต้องพบเจอกับรั้วเช่นนั้นอีก





เป็นวรรณกรรมที่กินใจในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่าน นึกไม่ออกว่าเคยร้องไห้ถึงกับสะอื้นออกมาจริง ๆ ให้หนังสือเรื่องไหนมาก่อนหรือเปล่า ยกขึ้นหิ้งไว้อีกเรื่องเลยทีเดียว ชอบมากกกกกกกกกกกกค่ะ ชอบทั้งที่ร้าวราน

หนังสือดีมากจริง ๆ อวยแบบอวยมาก ถ้าให้เทียบระหว่างเรื่องนี้กับ พ่อกับผมและบางสิ่งที่หายไปในสงคราม ของจอห์น บอยน์ เช่นกัน (และเรื่องนั้นก็ชอบมาก ๆ เช่นกัน) ขอให้คะแนนความตราตรึงใจเรื่องนี้มากกว่านิดหน่อย
//เรามักจะรักเป็นพิเศษกับหนังสือที่อ่านจบแล้วทิ้งความรู้สึก (ในแง่ใด ๆ) ไว้ในใจหลังอ่านจบน่ะค่ะ TwT


อนึ่ง วรรณกรรมเรื่องนี้ มีทำเป็นภาพยนตร์ด้วย เมื่อปี 2008 คิดว่าน่าจะรู้กันเกือบหมดแล้ว (ซึ่งเรายังไม่ได้ดู แต่ไปกดดูตอนท้าย ๆ ใน youtube แล้ว) เด็กน้อยที่แสดงเป็นตัวเอกทั้งสองน่ารักมาก ๆ เลย ;///; สามารถหาดูได้เต็มเรื่องใน youtube เลยค่ะ



- คุณแมวสามตา -